บทที่ 9 สหายของบุตรสาว

ป้าหวงที่เห็นหวงฉืออุ้มซูเจินที่ตัวอวบอ้วนมาอย่างลำบากก็รีบเดินเข้ามารับนางไปอุ้มไว้แทน

นางไม่ได้พาซูเจินเดินเข้าไปด้านใน แต่พาออกมายืนมองอยู่ห่างๆ

“ท่านพ่อ ท่านทำกับลูกเมียของข้าเช่นนี้ได้อย่างไรขอรับ” ซูเต๋อเออ่ยถามอย่างเจ็บปวด

เขารู้ว่าท่านพ่อเข้าข้างนางไห่ซื่อมาแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่คิดว่าสิ่งที่รับปากเขาเอาไว้จะช่วยดูแลลูกเมีย กลับไล่นางสองแม่ลูกให้ไปอยู่ที่เรือนท้ายหมู่บ้าน

เขารีบเดินทางกลับมาที่หมู่บ้าน คิดถึงลูกเมียใจแทบขาด ทั้งยังกังวลว่าทั้งคู่มีความเป็นอยู่เช่นไร แม้จะเห็นสีหน้าที่มองเขาอย่างเห็นใจจากชาวบ้าน แต่ไม่คิดจะหยุดถาม เมื่อมาถึงเรือนตระกูลชุยจึงได้รู้เรื่องทั้งหมด

“หึ ข้าทำอันใด เป็นนางที่ขี้เกียจไม่อยากทำงานในเรือนจึงได้หอบลูกไปฟ้องผู้นำหมู่บ้านหวงให้มาทำเรื่องตัดขาด” นางไห่ซื่อโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

จิ่วเม่ยที่มาได้ยินพอดี ก็รีบเข้ามากอดแขนสามีแล้วโต้แย้งออกมา

“ไม่จริงเจ้าค่ะ เจินเออร์นางป่วยหนักเกือบรักษาชีวิตไม่ได้ ข้าไปขอสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้ เพื่อพานางไปหาหมอ แต่ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้า” จิ่วเม่ยเห็นหน้าสามี และเอ่ยถึงเรื่องในหนเก่าก็อดที่จะร้องไห้ออกไม่ได้

“เจ้าจะแสดงให้ผู้ใดดู แล้วมาที่เรือนของข้าเพื่ออันใด เจ้าจำในหนังสือตัดขาดมิได้หรือ หากเจ้ายังมาวุ่นวายข้าสามารถเรียกเงินจากเจ้าได้” นางไห่ซื่อชี้หน้าของจิ่วเม่ยและจ้องมองนางอย่างมุ่งร้าย

“เฮ้อออ ถ้าเสี่ยวมี่มาด้วย ข้าจะให้ต่อยปากนางอีกสักที” ซูเจินอดที่จะบ่นกับเสี่ยวเตี๋ยไม่ได้

“ไม่ใช่เรื่องยากเจ้าค่ะ” ซูเจินหันไปมองเสี่ยวเตี๋ยที่อยู่บนไหล่ของนางอย่างสงสัย

นางไห่ซื่อยังทวงเงินจากจิ่วเม่ยไม่หยุด ซูเต๋อก็ยังไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดดี ได้แต่จ้องมองบิดาอย่างเสียใจ และมองนางไห่ซื่ออย่างโกรธแค้น

“หยุดได้แล้ว นางยังไม่ได้ทำเรื่องอันใดกับเจ้าอย่างที่ระบุในหนังสือตัดขาด เจ้าไม่อาจเรียกเงินจากนางได้” ลุงหวงทนฟังไม่ไหว จึงได้ออกหน้าช่วยสองสามีภรรยา

“เพ้ย ทั้งหมู่บ้านผู้ใดไม่รู้บ้างว่าท่านเข้าข้างนาง ที่ไปเรือนนางอยู่บ่อยครั้งมิใช่ว่ามีอันใดกับนางหรอกรึ โอ๊ยยย” พอนางไห่ซื่อพูดจบ ผึ้งที่บินมาจากที่ใดไม่รู้ก็ต่อยเข้าที่ปากของนางสองสามที

คนทั้งหมดจ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ แต่ซูเจินที่นังอยู่ในอ้อมกอดของป้าหวงหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

เสียงหัวเราะของนาง เรียกให้ซูเต๋อหันมามอง ดวงตากลมโตที่งดงามของซูเจินก็มองเขาอย่างสำรวจ

“ท่านพี่ บุตรสาวของท่านเจ้าค่ะ”

“เจินเออร์หรือ” เขาเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่สั่นเทา

ตอนนี้นางไห่ซื่อจะโดนอะไร หรือจะเป็นอะไร สองสามีภรรยาไม่สนใจอีกแล้ว ทั้งคู่เดินออกมาจากเรือน เพื่อไปหาซูเจินที่อยู่กับป้าหวง

“อาเต๋อ เจ้าอย่าได้เสียใจเลย ตอนนี้อาเม่ยกับเจินเออร์มีชีวิตที่ดีนัก เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว” ป้าหวงส่งซูเจินให้ซูเต๋อ

เขารับบุตรสาวมาอุ้มไว้ เมื่อเห็นว่านางมิได้ซูบผอมอย่างที่คิด แต่เนื้อตัวอวบอ้วนไม่น้อย ใบหน้าที่กลมเกลี้ยง น่าเอ็นดูจนซูเต๋อหอมบุตรสาวฟอดใหญ่

ซูเจินถูกตอหนวดที่โกนไม่เกลี้ยงของซูเต๋อถูกที่แก้มของนางอยู่หลายทีก็หัวเราะเสียงใสออกมา ชาวบ้านต่างมองภาพตรงหน้าอย่างยินดี

เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องที่นางไห่ซื่อเหตุใดถึงโดนผึ้งต่อยได้ จึงไม่มีผู้ใดสนใจนาง ต่างคิดว่าเพราะปากเน่าๆ ของนางทำให้ฟ้าดินลงโทษ

สามพ่อลูกบอกลาชาวบ้านก่อนจะพากันเดินกลับไปที่เรือน

“ท่านพี่ ข้าได้สินเดิมคืนมาจึงได้ซื้อที่ดินเพิ่ม เพราะกลัวว่านางไห่ซื่อจะตามมายึดเงินคืนไป ท่านคงไม่ว่าอันใดที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”

“ข้าจะว่าอันใดเจ้าได้ ดีเสียอีก ข้ากลับมาแล้ว ต่อไปจะไม่มีผู้ใดรังแกเจ้าสองแม่ลูกได้” เมื่อนึกถึงเรื่องที่จิ่วเม่ยพูดว่าเกือบจะสูญเสียบุตรสาวในอ้อมกอดของตนไปแล้ว

ซูเต๋อก็กอดซูเจินแน่นขึ้น “พ่อจะไม่ให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้อีก เจินเออร์”

ซูเจินจ้องมองแววตาของซูเต๋อที่มองนางอย่างรู้สึกผิด นางจึงโอบกอดรอบคอของซูเต๋อไว้ ในตอนแรกนางก็ยังกลัวว่าจะทำใจยอมรับบิดาคนใหม่ไม่ได้ แต่เขาห่วงใยนางและมารดามากเพียงนี้ ก็ไม่มีเรื่องอันใดที่นางจะไม่ยอมรับเขา

“ปีนี้ข้าปลูกข้าวได้มากนัก ข้าวยังเก็บไว้ที่ห้องเก็บด้านหลัง รอให้ท่านมาจัดการ”

“หนู แมลงไม่กินหมดแล้วหรือ” ซูเต๋อขมวดคิ้วถาม เพราะเมื่อก่อนเก็บเกี่ยวเรียบร้อยก็ขายออกไปทันที เก็บไว้กินพอครบปีเท่านั้น เพราะไม่อาจจะขับไล่หนูแมลงที่เข้ามากินได้หมด

“ถึงเรือนแล้วข้ามีเรื่องจะบอกท่าน” ซูเต๋อมองหน้าเมียรักอย่างไม่เข้าใจ

ทั้งสองรีบเร่งฝีเท้าเพื่อกลับเรือน จิ่วเม่ยนำของที่ซูเต๋อนำกลับมาเข้าไปเก็บ และหาน้ำมาให้เขาดื่ม ออกมาก็เห็นสองพ่อลูกนั่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นางยิ้มออกมาเต็มใบหน้าอย่างยินดี คิดว่าจะไม่ได้เห็นภาพเช่นนี้อีกแล้ว

“มีเรื่องอันใดที่พูดด้านนอกไม่ได้ ก็พูดเถิด”

จิ่วเม่ยบอกบุตรสาวตัวน้อยในอ้อมแขนของสามีก่อนจะเอ่ยขึ้น “เรียกสหายของเจ้ามาเถิด”

ซูเต๋อมองออกไปที่หน้าประตูเรือนอย่างแปลกใจ เขามองหาสหายของบุตรสาวที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่จะพูดได้อย่างไร

“พ่อ” ซูเจินสะกิดเรียกซูเต๋อ เมื่อสหายทั้งสามของนางขึ้นมาอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว นางชี้ไปที่สหายของนางให้บิดาเห็น

“สหายของเจ้ารึ” ซูเต๋อขมวดคิ้วดูผีเสื้อ ผึ้งและมดตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ซูเจินพยักหน้าหงึก ๆ ให้เขาว่านี่แหละสหายของนาง

“ท่านพี่ ตอนที่ข้าออกมาจากเรือนตระกูลชุย ก็เกิดเรื่องประหลาดกับเจินเออร์”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป